ต้อกระจกเป็นภาวะที่เลนส์แก้วตาขุ่นมัว ทำให้มองเห็นภาพไม่ชัด สาเหตุของต้อกระจกยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น พันธุกรรม สภาพแวดล้อม การใช้สายตาในระยะใกล้เป็นเวลานาน การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือการได้รับรังสี UV มากเกินไป
ปัจจุบัน การรักษาต้อกระจกวิธีเดียวที่มีประสิทธิภาพคือการผ่าตัด การผ่าตัดต้อกระจกเป็นการผ่าตัดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป
การผ่าตัดรักษาต้อกระจก
การผ่าตัดและรักษาต้อกระจกเป็นการผ่าตัดที่ใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณดวงตา จากนั้นแพทย์จะใช้เครื่องเลเซอร์หรืออุปกรณ์พิเศษในการสลายเลนส์แก้วตาที่ขุ่นมัวออก จากนั้นแพทย์จะใส่เลนส์แก้วตาเทียมแทนที่เลนส์แก้วตาที่ขุ่นมัว
หลังการผ่าตัด ผู้ป่วยจะได้รับการใส่คอนแทคเลนส์บางๆ เพื่อป้องกันกระจกตาไม่ให้สัมผัสกับอากาศ จากนั้นแพทย์จะนัดตรวจติดตามอาการเป็นระยะๆ
ประสิทธิภาพของการผ่าตัดรักษาต้อกระจก
การผ่าตัดต้อกระจกมีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่ผ่าตัดต้อกระจกสามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น 90% ขึ้นไป
นอกจากนี้ การผ่าตัดต้อกระจกยังมีความปลอดภัยสูง ความเสี่ยงจากการผ่าตัดต้อกระจกมีเพียงเล็กน้อย เช่น การติดเชื้อ เลือดออก ตาแห้ง เป็นต้น
ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดต้อกระจก
ผู้ป่วยที่ควรเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจก ได้แก่
- ผู้ป่วยที่มองเห็นภาพไม่ชัด
- ผู้ป่วยที่มีอาการแสบตา เคืองตา ปวดตา
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาในการขับรถหรือทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
ข้อควรปฏิบัติหลังการผ่าตัดต้อกระจก
หลังการผ่าตัดต้อกระจก ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เช่น
- สวมแว่นกันแดดหรือหมวกปีกกว้างเพื่อป้องกันแสงจ้า
- หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือทำกิจกรรมที่อาจทำให้ตาโดนน้ำ
- รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง
หากผู้ป่วยมีอาการผิดปกติหลังการผ่าตัดต้อกระจก เช่น ปวดตา ตาแดง ตาบวม ให้รีบพบแพทย์ทันที
การผ่าตัดต้อกระจกเป็นวิธีรักษาต้อกระจกที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์อีกต่อไป ผู้ป่วยที่มีอาการต้อกระจกควรเข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากจักษุแพทย์ เพื่อประเมินสภาพสายตาและพิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม